หลังจาก BYD Seal เปิดตัวอย่างถล่มทลายไปแล้ว ก็มีคำถามภาคต่อ
Q: รถไฟฟ้าจีนจะน่าซื้อ “ยิ่งกว่านี้” ตอนไหน (ไม่นับเรื่องทรงรถ)
A: แบรนด์อื่นเราไม่รู้ แต่ถ้าเป็น BYD ที่เป็น e-Platform 3.0 (ตอนนี้ Seal คือ 3.0 ตัวแรก) มันจะต้องอัพเกรดไปอีกโดยมาพร้อมระบบชาร์จที่โฆษณาว่า 5 นาที วิ่งได้ 150 กม. และอาจจะมี Autonomous Self-Driving ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA DRIVE Hyperion!
จาก Platform ที่ NVIDIA พยายามทำ Drive โดยใช้ SoC+Platform ที่จะไปไกลถึง Self-Driving ที่ท้าชน Tesla โดยตรง ก็คือ Hyperion อาจจะเป็นอีกยุคหนึ่ง แต่ Orin ที่เป็นสถาปัตยกรรม Ampere ตอนนี้มาแล้วหลายรุ่นนะ
SoC (System on a Chip) ของ Orin เอง มีหลายรุ่นย่อยมากๆ และไม่ใช่ว่ามีแค่ทาง BYD ที่สนใจ
ภาพ: Denza N7 (BYD x Daimler)
________
#ePlatform3
อย่าง Sea Lion ที่น่าจะเข้าไทยตามมา มันยังใช้แพลตฟอร์ม e-Platform 3.0+มอเตอร์ของ Seal แต่อัพเกรดขนาดตัวรถขึ้นไป จาก Seal ชน Model 3 ก็เป็น Sea Lion ชน Model Y นั่นแหละ
แต่สำหรับตัวที่ใช้ Hyperion เนี่ย เขาว่ากันว่ามันจะใส่มากับรถรุ่นหลังจากนี้ที่ได้ Self-Driving และแบตเตอรีเทพที่เราพูดถึงข้างบน
________
#Series
Dynasty หรือซีรีส์โมเดล “ราชวงศ์” ที่ไม่ใช่บะหมี่ไก่ แต่เป็นราชวงศ์ของจีน เช่นที่ออกมาแล้วก็คือ “Tang” = ราชวงศ์ถัง “Han” = ราชวงศ์ฮั่น “Song” = ราชวงศ์ซ่ง และเราได้ข่าวแล้วว่าจะมี Dynasty Series มาใหม่อีกตัวเร็วๆ นี้
ส่วน Ocean Series ที่เราก็คงได้เห็นกันแล้วทั้ง Seal (แมวน้ำ) Dolphin (โลมา) และภาพ Seagull (นกนางนวล) ก็คงหลุดไปแล้วหลายสื่อ
ทั้งนี้ ที่เราลงกันมา 3-4 ข่าวแล้วเนี่ย อย่าลืมว่าเรามีรถรุ่นนึงจ่อคอหอยกันอยู่ คือ Seal U หรือชื่อทางโน้นคือ Song+ (ทำไมมันครอสกันวะ) ที่น่าจะเป็นตัวแรกที่ผลิตไทย
และอีกแบรนด์ย่อยคือ Denza ที่เคยเป็นแบรนด์คอลแล็บของ BYD x Daimler AG จน GWM ต้องไป Collab BMW แก้เขินนั่นแหละ โดย Denza ที่เข้าไทยมาให้ดูกันบางที่แล้ว ก็คือ D9 ที่เป็นเซกเมนต์ MPV ชนกับ MG Maxus 9 นั่นเอง
________
#LatestNews
แล้ว nVidia Drive มันอยู่จุดไหนของ BYD?
คำตอบของเราคือ “Orin” มานานแล้ว แต่ “Hyperion” ยังไม่ถึงเวลา และคงอีกสักพักใหญ่ๆ
ที่เราพูดถึง Denza ก่อนหน้านี้ เพราะ ณ ขณะนี้ เท่าที่เราล้วงข่าวมาได้ ไม่ใช่พ่อแมวน้ำอุ๋งๆ Seal เพียงตัวเดียว แต่ยังรวมถึง Denza N7 คันในภาพนี่แหละครับ ที่ก้าวไปสู่การใช้ nVidia แล้วครึ่งตัว คือใช้ nVidia Orin SOC แน่นอน และนอกจากจะใช้ Orin แล้ว พี่ยังตอกย้ำความอลังการของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ของจีน โดยการใช้ Harmony OS ของอาหัวเว่ยอีกด้วย
เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ที่มาทำ MOU กับ nVidia อย่าง Neta หรือ NIO พลังในการผลิตยังถือว่าตาม BYD เป็นปีอยู่ คำว่าเป็นปีนี่ก็ถือว่าน่ากลัวแล้วสำหรับรถยนต์จีนที่เปลี่ยนโมเดลไวซะยิ่งกว่ารถญี่ปุ่นทำไมเนอร์เชนจ์
________
#SelfDriving จะเกิดได้จริงไหม และควรซื้อ EV ในปี 2024 หรือยัง?
เมื่อมาดูถึงความเป็นจริง อนาคตของการใช้ Hyperion เต็มตัว แน่นอนว่า Self-Driving/Autonomous ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะว่าการที่จะให้รถยนต์ไฟฟ้ามันคุยกันรู้เรื่องทุกคัน มันต้อง “คุยกันได้ทีเดียวหลายคัน” ในขณะที่สัดส่วนรถยนต์บ้านเรา ตอนนี้น่าจะมีไฟฟ้าสัก 1%
ทำให้ว่ากันซื่อๆ Hyperion มีหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหาแล้ว เหลือแค่เรื่องแบตเตอรีที่ Seal ถ้าคำนวณกลมๆ แล้ว 150 kW DC Charger จะทำให้ชาร์จได้ราวๆ 500-550 กม. วิ่งจริงภายใน 1 ชม. หรือถ้าจะเอา EV Range สัก 400 กม. ก็จะใช้เวลาช่วงไวสุดๆ ประมาณ 40 นาที
แม้จะยังไม่ได้ 150 กม. ใน 5 นาที ตามแผนเดิม แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงเป้าหมายนั้นมากขึ้น และถ้ามันถึงเป้าหมาย 500 กม. ใน 15 นาที ก็เป็นตัวเลขที่ทดแทนรถยนต์น้ำมันได้ดีมากแล้วสำหรับการใช้งาน 90% ของคนทั่วไป
…ยกเว้นคุณจะเป็นไซบอร์กที่ขับรถ 1,000 โล ไม่ต้องพักอะไรใดๆ
คำตอบที่ว่าควรซื้อ EV ในปี 2024 หรือไม่: ความน่าสนใจจึงมี 2 เรื่อง
[1] คือการกลับไปอยู่ที่ความสะดวกในการชาร์จ โดยไม่ต้องหวังพึ่งพา Self-Driving มันไม่รอดหรอกในสภาพการจราจรเมืองไทย
ดังนั้น: การมีชาร์จบ้านยังคงจำเป็นอยู่ รวมทั้งแนวโน้มในการคิดค่าไฟที่น่าจะเพิ่มในอนาคตอันใกล้ ทั้งจุดชาร์จก็ดี หรือมิเตอร์ที่มีการใช้ EV มากก็ดี
รวมทั้งในการเดินทางไกลก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ ว่า ถ้าจำนวนรถบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอีกสักเท่าตัว จุดชาร์จที่เคยสบายๆ จะไหวกันอยู่หรือไม่
และ [2] คือ แนวโน้มราคาที่เปลี่ยนแปลงแน่นอน จากเดิมที่เรามองว่า EV เป็นระยะตั้งไข่ แต่นโยบายอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขต้องผลิตทดแทน จะทำให้ในล็อตปีต่อๆ ไป อาจจะเป็นรถคันเล็กหรือพลังน้อยกว่าเดิมที่ไม่ได้รับอุดหนุนหลักแสนแบบนี้ มีความ “นิ่ง” กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด และการเติบโตในประเทศจะช้าลงจนกว่าอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของไทย (แน่นอนเรามีโรงงานแบตแล้ว) จะเริ่มมีต้นทุนต่ำลงและมีเงินหมุนมากขึ้นจากการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย มากขึ้น…
… แต่ไม่ใช่จีนแน่ๆ
________
#สุดท้าย
เชื่อว่า: รถน้ำมันและรถไฮบริดจะยังอยู่ และอาจจะภายใน 1-2 ปี ที่ “ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร” ไม่นับค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา ของรถ EV และรถยนต์ไฮบริดจะเท่ากัน ส่วนเท่าสันดาปอันนี้น่าจะยากครับ อธิบายเพิ่มเติมส่วนสุดท้ายโดยหลักๆ แล้ว
- หลายคนเชื่อว่าการมาของ EV = น้ำมันตายเรียบ ซึ่งแอดว่าไม่ใช่ครับ เพราะพฤติกรรมการใช้รถและโครงสร้างรายได้ประเทศเรา ยังไม่ได้ใช้รถเหมือนเป็น Electronic Gadget 5 ปี ใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นต้องใช้เวลาสะสมความเข้าใจของผู้คนให้ได้ก่อน ว่ารถยนต์ไฟฟ้าเองพัฒนาการจะมีการก้าวกระโดด (ซึ่งจะด้อยมูลค่าของเจนก่อนๆ แบบ ชห. ตห.) กันอีกที และมันมีการเสื่อมราคาได้จากอะไรอีกบ้างในการใช้ระยะยาว
- คนไทยน่าจะยังเลือกใช้ Hybrid/น้ำมันล้วนกันมาก และด้วยความที่รถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าถึงได้ง่าย 99% เป็นแบรนด์จีนอยู่ ซึ่งเกือบจะ 100% มาใหม่ออกรถกันปี 2566 หลังมีมาตรการภาษีนี่แหละ ดังนั้นยังไม่มีแบรนด์ไหนโมเดลไหน (นอกจาก Tesla) ที่ได้พิสูจน์ตัวเองระยะยาวให้คนไทยมั่นใจว่าจะซื้อแล้วลงทุนคุ้ม
นอกจากนี้ก็มีประเด็นเรื่องเวลาและการวางแผนเดินทางที่อาจจะยากเกินไปสำหรับหลายๆ คน
- เรื่องค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร ปัจจุบันค่าตู้ชาร์จและอื่นๆ ยังถือเป็น Honeymoon Period ครับ ที่คำนวณกัน 0.7-0.9 บาท/กม. (จากตู้) ไม่ใช่ทุกตู้ที่จะให้บริการราคานี้ได้ตลอดไป รวมทั้ง PEA volta ก็ด้วย จะมีตัวที่สามารถเติมเต็มค่าใช้จ่ายได้ดีที่สุดคือ “ชาร์จบ้านแบบมี Solar Cell+TOU” ในขณะที่การใช้แบบถ้า Cycle ใช้งานเยอะมากจริงๆ การเติมพลังงานแบบไม่วางแผนของ EV ยังทำได้ยากอยู่ และจะทำให้ต้องเติมตู้ระหว่างทาง
ซึ่งแอดคิดว่า มันน่าจะไปกองกันแถวๆ 2 บาท/กิโลเมตร ได้ในอนาคตอันใกล้ไม่ว่าจะใช้เชื้อเพลิงอะไร (ไทยอุดหนุนดีเซลด้วย แฮ่ม) หรือใช้ EV จะยกเว้นก็แต่สันดาปล้วนเทคโนโลยีเก่าที่กินน้ำมันมาก อันนั้นมันเปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้ทั้งนั้นอยู่แล้ว
ประมาณนี้นะ
แอดแมว
30/9/2566